Cover บทความเปรียบเทียบ SEO vs SEM

SEO vs SEM ธุรกิจคุณควรเลือกทำการตลาดแบบไหน? [สรุปครบใน 5 นาที]

mins read   1stCraft Team

SEO vs SEM ต่างก็เป็นเทคนิคในการทำการตลาดออนไลน์บนหน้าค้นหา (Search Marketing) เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของธุรกิจสามารถไต่อันดับขึ้นสู่หน้าแรก หรือก้าวขึ้นไปครองเป็นอับดับ 1 บนหน้าค้นหาของ Google 

การทำ SEO vs SEM จะมีเทคนิคในการวางแผนและลงมือทำที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายหลักเดียวกันนั่นคือ การเพิ่ม Traffic หรือยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้กับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ

สำหรับนักธุรกิจที่ต้องการให้เว็บไซต์ธุรกิจ สามารถติดอันดับที่ดีที่สุดในการค้นหาบน Google ได้ มาดูกันว่าระหว่างการทำ SEO vs SEM แบบไหนจะดีกว่า คุ้มกว่า โดยจะเทียบให้ดูแบบหมัดต่อหมัด ให้คุณสามารถตัดสินใจนำไปใช้งานกับเว็บไซต์ธุรกิจได้ตามความต้องการ

SEO vs SEM คืออะไร? ต่างกันอย่างไร?

SEO vs SEM คืออะไร? ต่างกันอย่างไร?

สำหรับธุรกิจที่มีเว็บไซต์และต้องการทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก หรือสามารถดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเข้ามาทำความรู้จักกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจให้มากขึ้น 

จะต้องทำการตลาดที่เรียกว่า Search Marketing หรือการตลาดบนหน้าค้นหา เพื่อให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับในหน้าแรกของการค้นหา และเพิ่มโอกาสการมองเห็นของเว็บไซต์ให้มากยิ่งขึ้น 

ซึ่งวิธีการทำการตลาดบนหน้าค้นหา จะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีหลักๆ นั่นคือ การทำ SEO และ SEM มาดูกันว่ารายละเอียดของทั้ง 2 วิธีนี้คืออะไร?

SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร?

“SEO คือการใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ดึงดูดผู้คนบนหน้าค้นหา (Search Engine) เพื่อทำให้ผู้คนเห็นว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ สามารถตอบคำถามหรือช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขาได้ดีที่สุด – Jason Barnard”

4 แกนหลักของการทำ SEO

สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจที่ต้องการทำ SEO จะต้องยึดมั่นในการทำ 4 แกนนี้ให้ดี เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถติดหน้าแรกของการค้นหาที่ยั่งยืน และต้องมาพร้อมกับความปลอดภัย ไม่ใช้วิธีการที่เสี่ยงต่อเว็บไซต์ในการลงมือทำ

1. Technical SEO โดยเน้นไปที่การการพัฒนาโครงสร้างของเว็บไซต์ และการพัฒนาในด้านอื่นๆ เช่น ความเร็วของเว็บ, การเป็น Mobile Friendly, โครงสร้างของข้อมูล, การวางเนื้อหาให้ง่ายต่อการ Craw และ Index ของ Google อัลกอลิทึม

2. On-Page SEO ด้วยการปรับปรุงหน้าเว็บเพจให้มีความชัดเจนของเนื้อหา วางโครงสร้างของบทความเป็นสัดส่วน เพื่อทำให้อัลกอลิทึมสามารถทำความเข้าใจได้ว่าเนื้อบนเว็บไซต์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร 

3. Off-Page SEO เป็นวิธีการสร้างคะแนนความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ ที่ต้องอาศัยเว็บไซต์ภายนอกในการช่วยสร้างเครดิตให้กับเว็บไซต์ ผ่านการสร้างลิงก์ที่สามารถเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของธุรกิจได้

4. Content หรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับการค้นหาได้ ด้วยการสร้างบทความที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Search Intent หรือสิ่งที่ผู้คนกำลังหาคำตอบอยู่บน Search Engine หากทำเนื้อหาได้ตรงกับคำค้นหาที่คนกำลังอยากรู้ อัลกอลิทึมที่เข้ามาอ่านเนื้อหาแล้วเห็นว่าจะให้คำตอบได้ ก็จะดึงเอาเว็บไซต์ธุรกิจของคุณขึ้นไปแสดงในอันดับแรกๆ

SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร?

SEM คือ กลยุทธ์ในการพาให้เว็บไซต์หรือเว็บเพจขึ้นสู่หน้าแรกของการค้นหาได้เลยทันที ซึ่งจะมีอีกชื่อเรียกว่า PPC (Pay-per-click) ที่เป็นการจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์ถูกนำขึ้นไปแสดงผลการค้นหา

สำหรับการทำ SEM จะต้องใช้การทำ Keyword Research และการวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Insight) เพื่อนำข้อมูลมาสร้างเป็นแคมเปญ ที่จะสามารถทำการโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกลุ่ม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

แคมเปญในการทำ SEM เช่น

  • Search Ads โฆษณาที่จะแสดงบนหน้าค้นหาตาม Keywords ที่ซื้อเอาไว้
  • Shopping Ads โฆษณาที่จะแสดงเป็นภาพสินค้าบนหน้าค้นหา
  • Display Ads โฆษณาที่จะแสดงเป็นภาพหรือข้อความในรูปแบบแบนเนอร์ ที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google
  • YouTube Adsโฆษณาที่จะแสดงเป็นวิดิโอ เมื่อผู้คนกำลังรับชมวิดิโอบน YouTube
SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร?
ตัวอย่างการแสดงผลโฆษณาจากการทำ SEM 

ซึ่งเมื่อผู้คนทำการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับ Ads หรือโฆษณาที่เว็บไซต์กำลังทำแคมเปญอยู่ หน้าโฆษณาเหล่านี้จะไปแสดงผลบนอันดับแรกๆ ของหน้าค้นหา และทุกๆ ครั้งที่โฆษณาเหล่านี้ถูกคลิกเข้ามาชม เว็บไซต์ก็จะเสียค่าใช้จ่ายตามจำนวนคลิก ไปจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาการทำแคมเปญนั้นๆ

ดังนั้น SEM จะเป็นในเรื่องการทำโฆษณาซึ่งจะคล้ายๆ กับการตลาดในฝั่งของ Outbound Marketing มากกว่าการทำ Inbound Marketing นั่นเอง

ประโยชน์ที่เหมือนกันของการทำ SEO vs SEM

  • ช่วยให้เว็บไซต์สามารถเติบโตได้จากยอดผู้เข้าชมที่เพิ่มมากขึ้น
  • ช่วยให้เว็บไซต์หรือหน้าเว็บเพจที่ต้องการสามารถขึ้นแสดงบนหน้าค้นหาของ Google ได้ ซึ่งมีโอกาสที่คนจะคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ เพื่อทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น
  • ก่อนที่จะทำ SEO หรือ SEM ให้กับเว็บไซต์ จะต้องรู้จักกับกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน ทำให้ต้องทำการค้นหาและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงเป้า ชัดเจนที่มากที่สุด
  • ทั้งการทำ SEO และ SEM ต้องอาศัยการจับ Keywords หรือคำค้นหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อให้สามารถสร้างเนื้อหาที่ตรงโจทย์ และตอบข้อสงสัยของกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด

3 เรื่องหลักที่ทำให้ SEO vs SEM ต่างกัน

แม้ว่าวัตถุประสงค์หลักๆ ของการทำ SEO vs SEM จะเป็นการดึงให้คนเข้าชมเว็บไซต์เหมือนกัน แต่รายละเอียดในขั้นตอนการทำจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยสิ่งที่แตกต่างกันชัดเจน จะมีอยู่ 3 เรื่องหลักๆ นั่นคือ

1. SEO vs SEM มีวิธีการไต่อันดับบนหน้าค้นหา (Search Result) ที่ไม่เหมือนกัน

เป้าหมายของการทำ SEO vs SEM นั่นคือ การทำให้เว็บไซต์สามารถขึ้นสู่หน้าแรก หรืออันดับที่ดีของการค้นหา เพื่อให้มีโอกาสถูกคลิกเข้าชมเว็บไซต์ได้ แต่วิธีในการไต่อันดับนั้นไม่เหมือนกัน 

  • SEO จะเน้นการสร้างคอนเทนต์ และการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้สามารถไต่อันดับการค้นหาที่ดีขึ้น
  • SEM จะเน้นที่การจ่ายเงิน เพื่อให้หน้าเว็บเพจที่ต้องการสามารถขึ้นแสดงบนหน้าแรก หรืออันดับที่ดีในการค้นหาได้เลย 

2. SEO vs SEM ใช้ระยะเวลาเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

โดยการทำ SEO จะใช้เวลาเกิดผลลัพธ์ ตั้งแต่ 3 เดือนหรือมากกว่านั้น ทำให้การไต่อันดับบนหน้าแรกของการค้นหาช้ากว่าการทำ SEM เนื่องจากการทำ SEM สามารถพาให้เว็บไซต์ขึ้นแสดงบนหน้าแรกของการค้นหาได้เลยภายในไม่กี่ชั่วโมง

  • SEO จะเป็นการพาให้เว็บไซต์ค่อยๆ ไต่อันดับสู่ตำแหน่งที่ดีที่สุดของการค้นหาแบบ Organic หรือไม่ต้องใช้เงินในการซื้อพื้นที่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพดีมากๆ รวมถึงการปรับปรุงทั้งจากภายในและภายนอกเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพดีมากที่สุด
  • SEM จะใช้ระยะเวลาที่ตรงกันข้าม เพราะเมื่อทีมการตลาดที่ดูแลแคมเปญตัดสินใจเริ่มทำโฆษณาผ่าน Google Ads แล้ว ภายในไม่กี่ชั่วโมง เว็บเพจหรือเว็บไซต์ที่ธุรกิจต้องการดันให้มียอดผู้เข้ามาดู ก็จะขึ้นสู่หน้าแรกของการค้นหา พร้อมถูกคลิกเข้ามาชมได้เร็วกว่า

3. SEO vs SEM ใช้การลงทุนที่แตกต่างกัน

จริงๆ แล้วการทำ SEO จะใช้การลงทุนที่สูงกว่าการทำ SEM แต่สิ่งที่ใช้ลงทุนนั้นไม่เหมือนกัน

  • SEO จะใช้การลงทุนด้วยเวลาและค่าแรงของคนในทีมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นักวางกลยุทธ์ นักเขียน กราฟิกดีไซน์ หรือแม้กระทั่งเครื่องมือที่ช่วยให้การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งในช่วงแรกอาจต้องลงทุนในระดับหนึ่ง และผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลานานกว่าการทำ SEM แต่ในระยะยาวหน้าเว็บเพจหรือเว็บไซต์ที่ต้องการ จะสามารถติดอันดับได้ยั่งยืนกว่าแน่นอน
  • SEM จะใช้การลงทุนด้วยเงินเป็นส่วนใหญ่กับการทำโฆษณาบนเครื่องมือของ Google ทำให้เห็นผลลัพธ์เลยในระยะเวลาที่รวดเร็ว แต่เมื่อเทียบในระยะยาวแล้ว ถ้าเกิดสิ้นสุดแคมเปญการทำโฆษณาไปแล้ว อันดับของเว็บไซต์ก็อาจหายไปจากหน้าแรกได้เลย 
ตารางเปรียบเทียบ SEO vs SEM

SEO vs SEM การตลาดแบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

จากที่ได้เห็นการเปรียบเทียบแบบหมัดต่อหมัดของการทำ SEO vs SEM เราจะเห็นได้ว่าทั้งสองรูปแบบการตลาดมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกันไป ซึ่งถ้าต้องว่าแบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากกว่า จะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย

หากต้องการเข้าใจในมุมมองที่กว้างมากขึ้นเราแนะนำให้คุณรู้จักกับความแตกต่างของ Inbound Marketing vs Outbound Marketing เพิ่มเติมด้วย เพราะคุณจะเข้าใจภาพรวมและแยกย่อยได้อย่างถูกต้องว่าการทำ SEO และ SEM นั้นอยู่ส่วนไหนของการทำการตลาดออนไลน์

เราจะเลือกทำ SEO ให้กับเว็บไซต์เมื่อ:

  • สินค้าหรือบริการของธุรกิจไม่ได้รีบขาย เพราะต้องการสร้างฐานของลูกค้าให้แข็งแรงก่อน ซึ่งคุณสามารถรอได้ในระยะ 3-6 เดือน จึงจะเห็นผลลัพธ์จากการทำ โดยคุณจะได้เห็นผลลัพธ์ทั้งจำนวน Traffic ที่เข้าสู่เว็บไซต์ / จำนวน Leads หรือกลุ่มคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้า เพื่อให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ในการปิดการขายได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
  • คุณอยากให้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของธุรกิจ สามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยตัวเอง ไม่หวังพึ่งพาการโฆษณาที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในแต่ละเดือน
  • คุณมีเวลา และมีทีมงานที่สามารถดูแลการทำ SEO ได้ทุกขั้นตอน เพื่อให้ผลลัพธ์จากการทำ SEO สามารถเห็นผลในเชิงบวก และยั่งยืนกับเว็บไซต์ธุรกิจได้มากที่สุด

เราจะเลือกทำ SEM ให้กับเว็บไซต์เมื่อ:

  • สินค้าหรือบริการของธุรกิจ เป็นสิ่งที่ลูกค้าไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อนาน โดยอาจเป็นสินค้าหรือบริการที่ไม่ได้มีราคาสูงมากเกินไป หรือเป็นสิ่งที่คนจำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว ซึ่งการทำ SEM จะทำให้ธุรกิจสามารถพร้อมขายได้ทันทีด้วยการโฆษณาบนเว็บไซต์
  • คุณอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกได้เลยทันที โดยไม่ต้องรอระยะเวลานาน 3-6 เดือน
  • คุณมีงบประมาณในการทำที่มากพอ เพราะการทำ SEM ก็ต้องใช้บัตเจ็ทในการซื้อโฆษณาในแต่ละสัปดาห์ และต้องใช้จนกว่าจะสามารถทำยอดได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

ธุรกิจของคุณเหมาะกับ SEO vs SEM มากกว่ากัน

เมื่อได้เห็นถึงประโยชน์และความแตกต่างในการใช้งานของ SEO vs SEM กันไปแล้ว หลายธุรกิจน่าจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วธุรกิจของคุณจะเหมาะกับการเลือกใช้งาน SEO หรือ SEM  มากกว่ากัน

จุดสำคัญที่สุดนั่นคือ เป้าหมายของแคมเปญการตลาด ว่าสุดท้ายแล้วคุณต้องการผลลัพธ์แบบไหน

โดยถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์หรือเว็บเพจสามารถติดอันดับการค้นหาที่ดี และติดอันดับได้อย่างยั่งยืน กลยุทธ์การทำ SEO จะพาให้เว็บไซต์ของคุณไต่อันดับและติดหน้าแรกของการค้นหาได้ยาวนานกว่า

ส่วนถ้าคุณต้องการความรวดเร็ว เร่งด่วน ในการดึงให้คนเข้าสู่เว็บไซต์ได้ในระยะเวลาอันสั้น การทำ SEM หรือการซื้อโฆษณาให้เว็บติดหน้าแรกของการค้นหาจะตอบโจทย์กว่า ซึ่งเหมาะกับเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดใหม่ หรือต้องการโปรโมทหน้าเว็บเพจที่คนอาจให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก 

และถ้าหากเว็บไซต์ของธุรกิจไหนที่ต้องการทั้งความเร็วในการติดอันดับ และในระยะยาวเองก็ต้องการความยั่งยืนในการติดอันดับหลังจากแคมเปญโฆษณาจบลงแล้ว การทำทั้ง SEO และ SEM พร้อมกันก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องลงทุน ลงแรง และเวลาให้มากขึ้น เพื่อปรับแต่งให้เว็บไซต์ของธุรกิจมีความแข็งแกร่ง และมีคุณภาพมากพอที่ Google จะเลือกไปแสดงผลบนหน้าแรกของการค้นหาได้

สรุปแบบเจาะจงธุรกิจแบบไหนเหมาะกับ SEO แบบไหนเหมาะกับ SEM?

ถ้าให้ทางเราแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์คือ “การทำ SEO และ SEM ควบคู่กันไป” แต่ถ้าหากเราย่อยมาอีกสักนิดว่า SEO เหมาะกับธุรกิจประเภทไหน? แล้ว SEM เหมาะกับธุรกิจประเภทไหน?

SEO เหมาะกับธุรกิจประเภท Business to Business (B2B)

SEO เหมาะกับธุรกิจประเภท Business to Business (B2B)

พอมาถึงตรงนี้บางท่านอาจจะเข้าใจว่า อ้าวแบบนี้ผมไม่ได้เป็นธุรกิจแบบ B2B ก็ไม่จำเป็นต้องทำ SEO หรือเปล่า? จริงๆ แล้วไม่ใช่สะทีเดียว ขออนุญาตอธิบายแบบนี้

SEO นั้นเหมาะกับธุรกิจที่ “กลุ่มเป้าหมายจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาข้อมูลก่อนทำการสั่งซื้อ”

ส่วนใหญ่แล้วหากเป็นธุรกิจ B2B จะมีการสั่งสินค้าที่ค่อนข้างเยอะ มูลค่าสูง ฝ่ายจัดซื้อเป็นผู้หาข้อมูลและต้องดีลกันอีกหลายตลบ ดังนั้น เมื่อ “มูลค่าสินค้าสูง ลูกค้าจึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาหาข้อมูลก่อนทำการสั่งซื้อ” 

หรือจะพูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ SEO ค่อนข้างเหมาะกับธุรกิจที่ขายสินค้ามูลค่าสูงนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในรูปแบบ B2B หรือ B2C เช่น รถยนต์, บ้าน, คอนโด, เพชรพลอย, บิ๊กไบค์, ขายสินค้าราคาส่งให้กับโรงงานต่างๆ และอื่นๆ 

จินตนาการว่า หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังตั้งใจจะซื้อบ้าน คุณคงไม่ได้เพียงแต่เดินเข้าไปในหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งแล้วซื้อเลย คุณคงจะใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลจากทางอินเทอร์เน็ตก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินเชื่อบ้าน เรื่องประกัน และเรื่องอื่นๆ 

ดังนั้นเมื่อสินค้ามูลค่าสูง แน่นอนว่าผู้ซื้อต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาหาข้อมูลก่อนทำการสั่งซื้อ แบบนี้ SEO ตอบโจทย์

SEM เหมาะกับธุรกิจประเภท Business to Customer (B2C)

หากเป็นสินค้าที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาหาข้อมูลมากนัก (มาไว ไปไว ซื้อขายแบบรวดเร็ว) SEM ถือเป็นช่องทางดี เพราะกลุ่มเป้าหมายไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการค้นหาข้อมูลมากนัก เป็นการซื้อแบบรวดเร็ว Impulse Purchase แบบนี้ SEM จะค่อนข้างตอบโจทย์

​​สรุปโดยสังเขป

จากเนื้อหาดังกล่าวข้างต้นหวังว่าคุณจะพอเห็นความแตกต่างแบบเจาะจงว่า ในกรณีที่คุณมีงบประมาณจำกัดและจำเป็นที่จะต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง คุณควรจะเลือกวิธีไหน?

แต่อย่างไรก็ตามเรายังยืนยันคำเดิมว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์ทุกแบรนด์ คือ “การทำ SEO และ SEM ควบคู่กันไป”

เลือกการตลาดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณกับ 1st Craft

การเลือกการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ตามแผนที่วางเอาไว้  อีกทั้งคุณยังสามารถควบคุมในเรื่องค่าใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณ 

หากคุณต้องการที่ปรึกษาการตลาด (Marketing Consultant) ที่ 1st Craft เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ ที่สามารถวางกลยุทธ์การตลาด เน้นสร้างผลลัพธ์ให้ตอบโจทย์ที่มีความเฉพาะจงให้แต่ละธุรกิจ และใช้ข้อมูลเพื่อทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

หากคุณต้องการปรึกษา สามารถติดต่อเราเพื่อสอบถามและพูดคุยถึงโซลูชันเพิ่มเติมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่นี่ครับ