ในการซื้อสินค้ามาและขายไป แต่ละครั้งเราจะพบว่าล็อตของสินค้าที่สั่งมาขาย มีราคาไม่เท่ากัน แล้วทีนี้เราจะตั้งราคาสินค้าคงคลังยังไงดี ให้สามารถขายได้ในราคาเท่ากันและยังคงได้กำไร
บทความนี้ เราจะมาดูรูปแบบการตั้งราคาขายสินค้าคงคลัง 3 รูปแบบ FIFO, LIFO, Moving Average ว่าแต่ละแบบคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร? ใช้การคำนวณแบบไหน? พร้อมตัวอย่างแบบครบจบ ให้คุณนำไปต่อยอดใช้งานได้เลย
FIFO, LIFO, Moving Average คืออะไร? มีวิธีคำนวณยังไง?
FIFO, LIFO, Moving Average คือ รูปแบบของการตั้งราคาขายสินค้าให้ได้กำไร โดยเฉพาะธุรกิจที่ซื้อมาขายไป จะมีการสั่งซื้อสินค้าชนิดเดียวกัน แต่สั่งมาหลายล็อต แล้วแต่ละล็อตก็ราคาทุนมาไม่เท่ากัน
ทำให้ต้องมีวิธีการตั้งราคาสินค้าให้เหมาะสม โดยที่ยังขายได้กำไรทุกชิ้น และจะมีวิธีการคิดหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเทคนิคที่แต่ละธุรกิจเลือกใช้
FIFO (First In First Out)
เป็นวิธีการคิดต้นทุนสินค้าแบบเข้าก่อนออกก่อน หากทำความเข้าใจให้ง่ายๆ ก็คือ ล็อตหรือสินค้าไหนเข้ามาก่อน ก็จะขายออกไปก่อน ส่วนล็อตที่เข้ามาทีหลังก็จะถูกขายไปตามลำดับ
วิธีการคิดต้นทุนจึงเป็นการคิดต้นทุนไปตามสินค้าในแต่ละล็อตเลย
ตัวอย่างการตั้งราคา
ธุรกิจขายของฝาก รับสินค้า A มาขายทั้งหมด 3 ล็อต
- ล็อตแรก จำนวน 50 ชิ้น 1,000 บาท (ต้นทุนชิ้นละ 20 บาท)
- ล็อตสอง จำนวน 30 ชิ้น 750 บาท (ต้นทุนชิ้นละ 27 บาท)
- ล็อตสาม จำนวน 40 ชิ้น 1,000 (ต้นทุนชิ้นละ 25 บาท)
สต็อกในคลังสินค้าจึงมีทั้งหมด 120 ชิ้น ทุน 2,750 บาท และนำมาขายต่อในราคาตัวละ 35 บาท
ในการคำนวณจะคิดทีละล็อต ตามลำดับล็อตที่รับเข้ามา
- ล็อตแรก 35-20 = 15 บาท เป็นกำไรต่อชิ้นที่ได้
- ล็อตสอง 35-27 = 8 บาท เป็นกำไรต่อชิ้นที่ได้
- ล็อตสาม 35-25 = 10 บาท เป็นกำไรต่อชิ้นที่ได้
หลังจากนี้ หากมีการสั่งล็อตถัดไป ก็จะคำนวณตามลำดับไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการต่อคิวเพื่อขายออกไป
LIFO (Last-In, First-Out)
เป็นวิธีการคิดต้นทุนสินค้าแบบเข้าหลังออกก่อน หรือสินค้าที่รับมาล่าสุด จะต้องมีการขายออกไปก่อน การคำนวณต้นทุนจึงยึดจากราคาล่าสุดของสินค้าเป็นหลัก
ตัวอย่างการตั้งราคา
ธุรกิจเริ่มต้นรับสินค้า A มาขาย จำนวน 10 ชิ้น มีราคาทุนต่อชิ้นที่ 500 บาท และตั้งราคาขายอยู่ที่ชิ้นละ 700 บาท
จากนั้นขายสินค้าออกไป 3 ชิ้นแรก จะได้กำไรต่อชิ้นที่ 700-500 = 200 บาท
สั่งสินค้าใหม่เข้ามา
เมื่อมีการสั่งสินค้า A เข้ามาเพิ่มอีก 5 ชิ้น แต่มีราคาทุนที่มากขึ้นอยู่ที่ 550 บาทต่อชิ้น
ทำให้ในตอนนี้ธุรกิจเหลือสินค้าคงคลัง 12 ชิ้น การคำนวณราคาจึงจะใช้ การคำนวณจากต้นทุนใหม่จนครบตามจำนวนของสินค้าใหม่ที่รับเข้ามาก่อน
โดย 5 ชิ้นใหม่ จะได้กำไรต่อชิ้นที่ 700-550 = 150 บาท
แล้วจึงขายชิ้นที่เหลือตามสต็อกแรกอีก 7 ชิ้น ในด้วยการคำนวณต้นทุนเดิม จะได้กำไรต่อชิ้นที่ 700-500 = 200 บาท
วิธีการคำนวณนี้จะคล้ายกับการคำนวณของ FIFO แต่ต่างกันที่จะคำนวณตามล็อตสินค้าใหม่จนครบก่อน แล้วจึงกลับไปคำนวณตามล็อตสินค้าเก่า
Moving Average
เป็นวิธีการคิดต้นทุนสินค้าแบบถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าใหม่มาแต่ละล็อต ก็จะทำการคิดต้นทุนใหม่ก่อนทุกครั้ง
ตัวอย่างการตั้งราคา
ธุรกิจสั่งสินค้า B มาขาย 2 ล็อต แบ่งออกเป็น
- ล็อตแรก จำนวน 50 ชิ้น 10,000 บาท (ต้นทุนชิ้นละ 200 บาท)
- ล็อตสอง จำนวน 30 ชิ้น 7,500 บาท (ต้นทุนชิ้นละ 250 บาท)
สต็อกในคลังสินค้าจึงมีทั้งหมด 80 ชิ้น ทุน 17,500 บาท และนำมาขายต่อในราคาชิ้นละ 350 บาท
ในการหาค่าเฉลี่ยต้นทุน จะใช้ ราคาทุน/จำนวนสินค้า = 17,500/80 = 218.75 บาทต่อชิ้น
หากมีการขายจะได้กำไรชิ้นละ 131.25 บาท
สั่งเพิ่มล็อตถัดไป
หากในรอบนี้ขายจนเหลือ 20 ชิ้น และต้องสั่งสินค้าล็อตที่ 3 เข้ามาเพิ่มอีก 25 ชิ้น ในราคาทุน 6,750 บาท (ตกชิ้นละ 270 บาท)
ถ้าใช้วิธี Moving Average ในการตั้งราคา จะต้องคำนวณราคาทุนเฉลี่ยใหม่ จะใช้
[(สินค้าที่เหลือในล็อตก่อนหน้า x ราคาทุนเฉลี่ยล็อตก่อนหน้า) + ทุนล็อตใหม่] / (จำนวนสินค้าที่เหลือ + จำนวนสินค้าล็อตใหม่)
[(20 x 218.75) + 6,750] / (20+25) = 247.22 บาท ต่อชิ้น
ถ้าขายในราคาตัวละ 350 บาท ในล็อตนี้ กำไรจะเป็นตัวละ 102.77 บาทต่อชิ้น
ความแตกต่างของ FIFO, LIFO, Moving Average
สำหรับการตั้งราคาขายแต่ละรูปแบบ จะมีความเหมาะสมของการคำนวณกับสินค้าแต่ละประเภทอยู่ เพื่อให้การตั้งราคาสามารถทำกำไรได้ แบ่งเป็น
- FIFO (First In First Out) เป็นการตั้งราคาที่เหมาะกับสต๊อกสินค้าที่มีวันหมดอายุกำกับไว้ ทำให้สามารถจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีการขายตามลำดับของสินค้าที่จะหมดอายุก่อน
- LIFO (Last-In, First-Out) เป็นการตั้งราคาที่เหมาะกับสต๊อกสินค้าที่ตกเทรนด์เร็ว มีรุ่นใหม่ออกมาบ่อย ที่ชัดเจนที่สุดจะเป็นสินค้าในหมวดไอทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี เครื่องเล่นเกม คอมพิวเตอร์
ทำให้ต้องดันสินค้ารุ่นใหม่ๆ ให้ขายได้ก่อน การลำดับการขายสินค้าจึงเป็นการขายสินค้าที่ใหม่ที่สุดก่อน ถ้าเกิดว่าทิ้งไว้นานไปจะทำให้เกิดการขาดทุนได้ เพราะสินค้ามีการตกรุ่นแล้ว
สำหรับการตั้งราคาในแบบ LIFO จะค่อนข้างมีข้อจำกัด เพราะจะทำให้สินค้าคงคลังเก่าที่ตกรุ่นขายออกไปได้ยาก และไม่เป็นสากลทำให้การค้าระหว่างประเทศในบางประเทศมีข้อห้าม รวมถึงทำการบริหารสินค้าคงคลังทำได้ยากขึ้นด้วย
- Moving Average เป็นการตั้งราคาที่เหมาะกับสต๊อกที่ซื้อมาเพื่อเป็นวัตถุดิบของการผลิต จะช่วยให้สามารถคำนวณต้นทุนของสินค้าที่นำมาผลิตได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น และยังทำให้เห็นผลประกอบการที่ชัดเจน เพราะมีการคำนวณต้นทุนใหม่ทุกครั้ง
นอกจากนี้ในสินค้าบางประเภทที่สามารถเก็บไว้ขายได้นาน ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ แต่ต้องไม่เป็นสินค้าที่มีราคาสูงหรือมีความเฉพาะเจาะจงมากเกินไป
ยกระดับการตั้งราคาสินค้าและติดตามสินค้าคงคลัง
วิธีการหาต้นทุนเฉลี่ยที่เราได้รู้จักกันไปแล้วกับ FIFO, LIFO, Moving Average จะช่วยให้สามารถตั้งราคาขายสินค้าให้ทำกำไรได้ตลอด แม้ว่าต้นทุนในการสั่งสินค้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละล็อต และยังช่วยให้การจัดการสินค้าคงคลังไม่มีสะดุด
แต่รูปแบบของการคำนวณนี้ จะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กมากกว่า เพราะถ้าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่แล้ว จะมีสินค้าที่ต้องจัดการเป็นจำนวนมาก การเลือกใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยจัดการ จะช่วยให้การจัดการสินค้าคงคลังง่ายและมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น